เลิกพรก.ฉุกเฉิน ตั้งอนุพงษ์ ตามสถานการณ์

หลังจากที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บหลายสิบราย แต่ผลจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับไม่ได้ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย  กลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายดังกล่าว

รัฐยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

กระทั่งเมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 ก.ย.ที่กองบัญชาการกองทัพไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการ ครม. พล.อ.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นางโฉมศรี อารยะศิริ รองเลขาธิการ ครม. นายอัชพร จารุจินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อมาเวลา 11.25 น. นายสมชายเปิดแถลงว่า ตามที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยประกาศดังกล่าวมอบให้ ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 2 ก.ย.นั้น จากสถานการณ์ปัจจุบันประเมินแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงต่างๆลดลงถึงระดับที่ไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชน หากมี พ.ร.ก.ดังกล่าวอยู่ จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตนในฐานะรองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ขอยกเลิกประกาศการใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าว ให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ตั้ง ผบ.ทบ.ประเมินผล 

นายสมชายกล่าวว่า ส่วนการควบคุมสถานการณ์ นั้น มีการคาดการณ์ว่าต่อไปนี้จะไม่มีเหตุรุนแรงอีก แต่ เพื่อให้แน่ใจ จึงต้องมีผู้ดูแลและประเมินสถานการณ์ต่อเนื่อง จึงต้องมีกองอำนวยการควบคุม ติดตามสถานการณ์ ให้สงบเรียบร้อย โดยมี ผบ.ทบ.เป็นผู้ดูแลเป็นผู้อำนวยการ ประสานงานกับฝ่ายตำรวจ เจ้าหน้าที่พลเรือน เพื่อประเมิน สถานการณ์ ส่วนการปฏิบัติการนอกจากนี้ ตำรวจจะดูแลตามปกติ  และข้าราชการฝ่ายอื่นจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้า พนักงาน ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เกิดความสงบเรียบร้อย

วอนคนไทยหันหน้าหากัน 

รองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งทางความคิดเป็นเรื่องปกติของคนในสังคม และขณะนี้ความขัดแย้งนั้นลดระดับลง ไม่มีปัญหาต่อความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของประชาชน จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบของกฎหมาย ของประชาธิปไตย สถานการณ์แบบนี้เราต้องเคารพกติกา จะมี พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือไม่นั้น ไม่มีปัญหา ต่อจากนี้การใช้กฎหมายจะเป็นไปตามปกติ คิดว่าเราเป็นคนไทยด้วยกันควรหันหน้าเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันทุกฝ่าย เพื่อให้บรรยากาศในบ้านเมืองดีขึ้น จะได้มีแต่ความสงบ

ต้องสร้างความปรองดอง

นายสมชายกล่าวอีกว่า จากนี้ความขัดแย้งทางความคิด ทุกอย่างต้องจบด้วยเหตุผล ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้หรือชนะ จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบร่มเย็น ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาบ้านเมืองบอบช้ำ เสียหาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม เกิดความแตกแยกของคนในชาติ เพราะฉะนั้นต้องเยียวยาด้วยการหันหน้าเข้าหากัน ค้นหาจุดต่างแล้วประสานรอยร้าวนั้นให้ได้ ขณะนี้เป็นโอกาสที่จะสร้างความปรองดอง ต้องแก้ปัญหาอย่างมีสติ การรบราฆ่าฟันไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น เราไม่มีเวลาทะเลาะกัน ขณะที่เรายังมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ความยากจนของประชาชนที่อยู่ห่างไกล เราที่อยู่ในกรุงเทพ และคนที่ยังขัดแย้งทางความคิด ล้วนแต่เป็นปัญญาชน มีความรู้ความสามารถ น่าจะใช้สิ่งนี้ไปช่วยดูแลประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้

มุ่งสมานฉันท์ดึงรอยยิ้มกลับมา

นายสมชายกล่าวอีกว่า ขอร้องให้เคารพกติกา เพื่อให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เพื่อชาติ เพื่อกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพยิ่งของเรา มุ่งไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ให้คนทั่วโลกทราบว่ารอยยิ้มของคนไทยกลับมาอีกครั้ง ให้สมกับคำว่าสยามเมืองยิ้ม เป็นการประกาศให้นักท่องเที่ยวกลับมา เอาเงินทองเข้ามาในบ้านเรา เพราะบ้านเรามีบรรยากาศที่ดีขึ้น ต่อจากนี้หากลดความรุนแรง บรรยากาศจากนี้ไปจะเข้าสู่พิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ  ที่ดำเนินการอยู่ โดยจะทำทุกอย่างถวายให้สมพระเกียรติ เพราะฉะนั้น ขอให้มุ่งไปทางนี้ ให้ประจักษ์ว่าคนไทยทุกคนล้วนมีหัวใจไปในทางเดียวกัน คือจงรักภักดีในพระราชวงศ์ของเรา และถัดไปจะมีการเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบรรยากาศที่ดี เข้าสู่ ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ

ผู้ชุมนุมควรออกจากทำเนียบฯ 

รองนายกฯปฏิบัติหน้าที่นายกฯกล่าวว่า จากนี้ตำรวจจะเข้ามาดูแลบ้านเมืองตามปกติ ส่วนผู้ชุมนุมจะดำเนินการอย่างไรขอให้ใช้เหตุผลไตร่ตรองให้ดีที่สุด รัฐบาลมีความห่วงใยผู้ชุมนุม ได้ยินข่าวว่าบางคนเจ็บป่วยไม่สบาย เรากังวล ดังนั้น ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ที่ควรจะอยู่ เพราะเป็นสถานที่ราชการถ้าออกมาอยู่ข้างนอกไม่มีปัญหา ขอให้ดูแลซึ่งกันและกัน และอยากเรียกร้องให้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง ด้วยความจริงใจ อย่าเอาชนะคะคาน เราเป็นคนไทยด้วยกัน ทั้งนี้ขอขอบคุณทุกฝ่ายทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร ที่ช่วยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ช่วยดับความร้อนแรงลงไปได้จนถึงวันนี้ และขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย

เห็นต่างได้แต่ต้องยึดกติกา

หลังแถลงจบผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พันธมิตรฯ ประกาศไม่รับนายกฯที่มาจากพรรคพลังประชาชน อาจทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก นายสมชายตอบว่า ความเห็นต่างได้ แต่ต้องใช้เหตุผล ใช้กรอบระเบียบ กติกา กฎหมาย ถือเป็นความเห็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาร่วมกับความเห็นส่วนรวมว่าเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า การแถลงวันนี้เป็นการสร้างคะแนนนิยมในการลงคะแนนเลือกนายกฯหรือไม่ นายสมชายตอบว่าไม่ต้องการสร้างคะแนนนิยม เป็นเรื่องของบ้านเมือง ต้องการสร้างความสงบเรียบร้อย ไม่สร้างภาพใดๆทั้งสิ้น

ผบ.ตร.สั่ง “จงรัก” ดูแลม็อบ

ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.กล่าวว่า เป็นไปตามคำแถลงการณ์ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ กทม. เพราะมองว่าความรุนแรงของสถานการณ์ได้บรรเทาลง จึงไม่ จำเป็นที่จะต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกต่อไป ขณะนี้ได้กำชับ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. รักษาการ ผบช.น. ให้ดูแลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจเช่นเดิมคือ การรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวก รวมทั้งการอำนวยการจราจรในเส้นทางที่มีการปิดการชุมนุม โดยห้ามใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด และสกัดกั้นไม่ให้เกิดการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย

ธุรกิจท่องเที่ยวเร่งแจ้งข่าวดี

อย่างไรก็ดี หลังรัฐบาลประกาศยกเลิกการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินแล้ว ก็ได้รับเสียงขานรับจากบรรดานักธุรกิจโดยนายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว เปิดเผยว่า การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินส่งผลดีด้านจิตวิทยา ช่วยให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศและนักลงทุนที่จะเข้ามาในประเทศไทยมีความมั่นใจ และกลับเข้ามาท่องเที่ยวและลงทุนมากขึ้น ดังนั้น ทางสมาคมฯ จะเร่งส่งข่าวดีนี้ออกไปยังต่างประเทศ ขณะเดียวกันสถานทูตต่างๆ ก็ต้องช่วยชี้แจงชาวต่างชาติให้ทราบถึงสถานการณ์ที่แท้ จริงด้วย ซึ่งในปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวไทยประมาณ 15 ล้านคน มูลค่าประมาณ 600,000 ล้านบาท เชื่อว่าปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะใกล้ เคียงกับที่ภาคเอกชนคาดการณ์ไว้ และคนไทยท่องเที่ยวในประเทศอีกประมาณ 400,000 ล้านบาท รวมเป็นยอดเงินจากธุรกิจท่องเที่ยวปีละ 1 ล้านล้านบาท สำหรับสภาพธุรกิจท่องเที่ยวไตรมาส 3 ลดลงมากอย่างน่าเป็นห่วง และยังมีความเป็นห่วงสถานการณ์ท่องเที่ยวไตรมาส 4 ว่าจะมีการชะลอการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากน้อยเพียงใด แต่ยังมั่นใจว่าน่าจะได้ตามเป้าหมายที่ 15 ล้านคน ต่ำกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดไว้ว่า 15.48 ล้านคน ส่วนรายได้คาดว่าจะใกล้เคียง 600,000 ล้านบาทและเมื่อรวมกับคนไทยท่องเที่ยวในประเทศกันเองด้วยแล้ว เชื่อว่าจะมีตัวเลขการท่องเที่ยวประมาณ 1 ล้านล้านบาท

สภาอุตฯ เชื่อต่างชาติมั่นใจขึ้น

ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จะส่งผลดีต่อทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยว นักลงทุน ซึ่งจะช่วยให้หลายฝ่ายสบายใจ ในส่วนของ ส.อ.ท.จะให้ ทางสมาชิกแจ้งไปยังลูกค้าและพันธมิตรในต่างประเทศทราบว่าประเทศไทยได้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว นอกจากนี้ ทูตไทยและทูตพาณิชย์ตลอดจนหน่วยงานของไทยในต่างประเทศต้องประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้ต่างประเทศทราบถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศว่าสถานการณ์ได้สงบเรียบร้อยแล้ว และเมื่อมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่สถานการณ์ก็จะยิ่งดีขึ้น เพื่อให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจกลับเข้ามาท่องเที่ยวและลงทุนตลอดจนเข้ามาจัดงานสัมมนาต่างๆจากที่ได้ยกเลิกไปในขณะนี้

เลิก พ.ร.ก.แต่วิกฤติยังอยู่ 

ส่วนที่โรงแรมเรดิสัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่า มีผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะภาพลักษณ์ของประเทศจะดีขึ้นในสายตาชาวโลกที่ไม่เข้าใจเรื่องราวภายในประเทศไทยมากนัก พ.ร.ก.ฉบับนี้มีผลกระทบต่อการลงทุนและท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อยกเลิกแล้วก็ทิ้งปัญหาไว้ให้นายกฯคนใหม่ คือวิกฤติการเมืองที่ยังคงอยู่ รวมทั้งความไม่สงบเรียบ ร้อยในบ้านเมือง เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงยึดทำเนียบฯ อยู่อย่างผิดกฎหมาย ปัญหาคือ เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ไปแล้วใครจะดูแล แม้ตำรวจจะดูแลเป็นหลัก แต่จะทำอะไรได้ เพราะการบังคับใช้ พ.ร.ก.ไม่ประสบความสำเร็จ แม้ จะป้องกันการปะทะของ 2 กลุ่มไว้ได้ แต่ก็แก้ไขวิกฤติไม่ได้ เพราะเหตุการณ์มันล่วงมาไกล

คาใจ ผบ.ทบ.ไม่ทำอะไรเลย 

นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เข้าใจว่าปัญหานี้เป็นเรื่องการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง โดยมองข้าม พ.ร.ก.ฉบับนี้ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และ ผบ.ทบ.ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องการละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรงของบางฝ่าย เมื่อมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้ว ผบ.ทบ.ก็ระบุชัดว่าจะไม่ใช้กำลัง ไม่ปฏิวัติ และไม่เอาแนวคิดรัฐบาลแห่งชาติ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ผบ.ทบ.จึงไม่พูดเรื่องที่จะให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย ตำรวจ ทหารมีหน้าที่ให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย ขอฝากให้คิดกันว่า เมื่อไม่มี พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้ว ตำรวจ ทหารจะทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมาย จะปล่อยให้มีการชุมนุมแบบขัดรัฐธรรมนูญ โดยสังคมไม่ตั้งคำถามกับกลุ่มพันธมิตรฯเลยไม่ได้ เพราะวันนี้ข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯก็หมดไปแล้ว

พธม.เฉ่งแนวคิดนิรโทษกรรม

ขณะที่ทางแกนนำพันธมิตรฯ เวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข สองแกนนำพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีที่แกนนำพรรคพลังประชาชนออกมาเสนอว่า จะขอนิรโทษกรรมให้กลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมกับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน โดยนายสมศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความคิดของคนโง่ บ้า และเขลาปัญญา เนื่องจากกรณีของอดีตกรรมการบริหารพรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา ชัดเจนว่า ไม่ได้รักประชาธิปไตย ส่วนข้อกล่าวหาของ 9 แกนนำพันธมิตรฯนั้น ไม่มีมูล เป็นแค่ข้อกล่าวหา อีกทั้งเรื่องยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้น จึงเป็นข้อเสนอที่ไร้เหตุผลจะเอามาแลกกันไม่ได้

เมินรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ด้าน พล.ต.จำลองกล่าวถึงการยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่า ยืนยันว่าต้นเหตุเกิดจากรัฐบาลที่สร้างสถานการณ์ด้วยการนำกลุ่ม นปก.มาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเราไม่ได้เรียกร้องให้มีการยกเลิก ส่วนการจะยกเลิกเป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่งเราไม่ได้เกี่ยวข้อง ขณะที่นายสมศักดิ์กล่าวเสริมว่า การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น ซึ่งเปิดทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอลี้ภัยทางการเมืองได้สะดวก และต้องการสลายการชุมนุม ซึ่งนอกจากจะขัดรัฐธรรมนูญแล้วยังทำให้เศรษฐกิจเสียหาย แต่การชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในต่างประเทศเห็นว่าการชุมนุมเป็นเรื่องปกติ และเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ชาวต่างชาติมาดูอีกด้วย

“สนธิ” นำสวดขับไล่สิ่งชั่วร้าย

ส่วนบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มักเงียบเหงาในช่วงเช้า พร้อมกับจำนวนผู้ร่วมชุมนุมที่น้อยลงไปกว่าทุกสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่บนเวทีปราศรัย เป็นการวิเคราะห์ผู้จะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป กระทั่งเวลา 11.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีพร้อมกับนำกลุ่มผู้ชุมนุมสวดมนต์ บทบูชาพระรัตนตรัย บทชุมนุมเทวดา และบทบูชาพระสยามเทวาธิราช เนื่องในวันสารทไทย และขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ออกจากบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่รัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน การ์ดพันธมิตรฯได้ควบคุมตัวชายต้องสงสัยคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่ม นปช.ไปยังเต็นท์ที่กลุ่มพันธมิตรฯ อุปโลกน์ขึ้นมาเป็นสถานีตำรวจและให้ชื่อว่า สน.พันธมิตรฯ อยู่ที่บริเวณหลังเวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปสอบถาม และถ่ายภาพก็กลับถูกการ์ดพันธมิตรฯกีดกันไม่ให้ทำข่าว

นปช.จันท์ดักถล่ม พธม.

ขณะที่ในช่วงสายวันเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯ จ.จันทบุรี เดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 50 คัน ไปรวมตัวกับกลุ่มพันธมิตรฯ ใน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี เปิดเวทีปราศรัยในตัวตลาดสอยดาว โดยมีนายสุวิชาณ สุวรรณาคะ เป็นแกนนำ พร้อมมีการนำเสื้อยืดสกรีน ผ้าพันคอ แผ่นซีดีเพลงมาจำหน่ายและมีกล่องรับบริจาค   พร้อมมีนักร้องเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง นายประทีป ขจัดพาล เจ้าของเพลงสาวชัยภูมิ มาร่วมสร้างความสนุกสนานให้กับกลุ่มพันธมิตรฯด้วย และหลังจากปราศรัยเสร็จ ขบวนรถพันธมิตรฯ จ.จันทบุรี เดินทางกลับ แต่พอผ่านทางหลวงเฉลิมพระเกียรติ ร.9 อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ปรากฏว่าถูกกลุ่ม นปช.จันทบุรี กว่า 200 คน รวมตัวกันอยู่ ที่ศาลารอรถโดยสารริมทาง ส่งเสียงตะโกนขับไล่ และใช้ขวดน้ำดื่มที่เป็นขวดพลาสติกขว้างปาใส่ขบวนรถของกลุ่มพันธมิตรฯ   แต่โชคดีที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โป่งน้ำร้อน กว่า 50 นายมาคุมสถานการณ์ไว้ได้

หวั่นเลี่ยงความรุนแรงยาก

ต่อมาในเวลา 19.00 น. ที่หลังเวทีมัฆวานฯ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าน่าสังเกตว่าหลังประกาศยกเลิก  กลุ่ม  นปก.ก็มีการประกาศนัดชุมนุมในวันที่  19 ก.ย.ทันที และจากนี้อำนาจดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมก็เป็นของตำรวจ ซึ่งพันธมิตรฯ มองว่าตำรวจไม่ทำหน้าที่ จึงเกิดคำถามว่า สถานการณ์หลังจากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะนำไปสู่การเผชิญหน้าอีกรอบหรือไม่ ดังนั้น พันธมิตรฯ ไม่มีทางเลือกที่จะต้องเพิ่มขีดระดับการรักษาความปลอดภัยมากขึ้นด้วย และการเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ถือเป็นบุญคุณกับพันธมิตรฯ เพราะที่ผ่านมาหลายฝ่ายก็ไม่เห็นด้วย รัฐบาลพยายามนำประเด็นนี้มาหวังผลทางการเมือง ทั้งที่ควรขอโทษประชาชนด้วยซ้ำ และหลังวันที่ 17 ก.ย. ที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พันธมิตรฯ จะมีการปรับแผนต่อสู้ใหม่อีกครั้ง โดยยังจะปักหลักชุมนุมต่อเนื่อง เพราะเมื่อไม่สามารถปลดล็อกทางการเมืองได้ ความรุนแรงในสังคมคงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก

รับ พธม.คุมการ์ดไม่ได้หมด 

จากนั้นนายสุริยะใสกล่าวถึงกรณีการ์ดพันธมิตรฯ คุกคามสื่อว่า ขอให้จดหมายเลขบัตรมาฟ้องที่ตน หากไม่มีเหตุผลเพียงพอคงต้องเอาออกจากหน้าที่การ์ด ยอมรับว่าแม้แต่พันธมิตรฯเองยังสั่งการ์ดพวกเดียวกันเองไม่ได้ เนื่องจากร้อยพ่อพันแม่มาทำหน้าที่ บางคนตรวจสอบหลังเกิดเรื่องแล้วก็ไม่ใช่พวกพันธมิตรฯ บางคนก็ไม่ใช่มืออาชีพ บ้างมีอารมณ์เคียดแค้นกับสื่อมวลชนบางแขนง สำหรับกลุ่มนักรบศรีวิชัยที่ถูกจับที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ล่าสุดมีการประกันตัวออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยพันธมิตรฯ เตรียมจะนำสมาชิกบางคนขึ้นเวทีแถลงความจริงจากที่เอ็นบีที หลังจากที่เห็นภาพจากสื่อเพียงอย่างเดียว

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ 15 ก.ย. 51 – 03:42

 

แท็ก คำค้นหา