สภาผู้บริโภค เดินหน้า อุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด ปม กสทช.ลงมติ ควบรวม ทรู-ดีแทค

26 กันยายน 2568 จากกรณีที่สภาผู้บริโภคยื่นฟ้องเพิกถอนมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรณีการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC หลังถูกมองว่ากระทบสิทธิผู้ใช้บริการและทำให้ตลาดมือถือไทยเหลือผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย นั้น

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า ศาลปกครองกลาง อ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.ย. 2568 ยกฟ้อง โดยสภาผู้บริโภคยืนยันว่าจะเดินหน้าอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป ย้อนกลับไปก่อนเดือนตุลาคม 2565 ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงมีการแข่งขันจากผู้ให้บริการรายใหญ่ 3 ราย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลายทั้งในด้านแพ็กเกจและราคา แต่เมื่อ กสทช. มีมติรับทราบการควบรวมทรู-ดีแทค สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป ผู้บริโภคถูกจำกัดทางเลือก ค่าบริการสูงขึ้น คุณภาพการให้บริการลดลงอย่างชัดเจน การฟ้องร้องดังกล่าว

อ้างอิงงานวิจัยของ 101 Public Policy Think Tank ที่ติดตามผลจากการควบรวมมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยเผยแพร่รายงานเมื่อกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้บริโภคทั้งแบบเติมเงินและรายเดือนต้องเผชิญค่าบริการสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเติมเงินที่เพิ่มขึ้นถึง 12–16% ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ถึง 80% ของผู้ใช้มือถือ และส่วนใหญ่มีรายได้น้อย

สภาผู้บริโภคชี้ว่า กสทช. ละเลยหน้าที่กำกับดูแลเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ ไม่บังคับใช้เงื่อนไขการควบรวมที่ควรลดค่าบริการเฉลี่ยลง 12% และเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน (MVNO) เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคยื่นฟ้อง กสทช. มาตั้งแต่พ.ย. 2565

แม้ศาลชั้นต้นไม่รับ แต่ต่อมาในต.ค. 2566 ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่งและมีมติให้รับฟ้อง โดยชี้ว่าบริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งเป็นอุตสาหกรรมที่มีลักษณะกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ ดังนั้นการควบรวมย่อมส่งผลต่อการแข่งขันและสิทธิผู้บริโภคในวงกว้าง จึงควรอยู่ในอำนาจศาล

แท็ก คำค้นหา