เดินหน้าสานเสวนา

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์การเคลื่อนไหวของเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม อันประกอบด้วย สถาบันพระปกเกล้า สภาพัฒนาการเมือง สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุ โทรทัศน์ฯ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ยุติการใช้วิธีรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้ง

ขอชื่นชมความเสียสละและให้กำลังใจโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาคมวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชน ซึ่งก้าวออกมาแสดงบทบาททางสังคมครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของคนกลางในการแสวงหาทางออกให้แก่สังคมไทย นอกเหนือจากภารกิจเป็นศูนย์รวมยกระดับมาตรฐานวิชาชีพและมาตรฐานคุณธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน

ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าหลงประเด็นและทำให้เกิดความสับสนก็ตาม เป็นเรื่องปกติของสังคมที่เปิดกว้างให้กับความเห็นต่างแต่อยู่ร่วมกันได้ ผมกลับเห็นว่าผู้ที่เห็นแย้งกำลังจับประเด็นหลักของเครือข่ายสานเสวนาผิดไปจากเจตนาที่แท้จริงมากกว่า

ผู้คนในเครือข่ายและเห็นด้วยกับวิธีการสานเสวนา ไม่ใช่ไม่เข้าใจพฤติกรรมการบริหารชาติบ้านเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ควบคู่ไปกับบริหารประโยชน์ของตัวเองและบริษัทบริวาร คนจำนวนมากได้คัดค้าน ต่อต้าน ด้วยวิธีการต่างๆ ตามความคิดเห็นของเขาเหล่านั้นและยังยืนหยัดที่จะทำต่อไป ไม่ยอมรับการกลับมามีอำนาจ และไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม ไม่เห็นด้วยกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังทำตรงข้ามกับที่พูดมาตลอดว่าจะยุติบทบาททางการเมืองแล้ว

เจตนารมณ์ของเครือข่ายสานเสวนาโดยคำขวัญบอกชัดอยู่แล้วว่า ต้องการยุติความรุนแรง เพราะมีแต่ทำให้ความขัดแย้งแตกแยก แบ่งขั้ว แบ่งค่ายระหว่างคนไทยด้วยกันเอง สถานการณ์ลุกลามบานปลายถึงขั้นเพื่อนร่วมชาติเข่นฆ่ากันเอง จนไม่แน่ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกส่งกลับมาลงโทษแล้วเหตุการณ์รุนแรงจากการสั่งสมความเกลียดชังระหว่างผู้คนสองฝัก สามฝ่ายในสังคม จะสงบลงหรือไม่

แต่เนื่องจากวิธีการแสวงหาทางออกของเครือข่ายสานเสวนาไม่เป็นที่พอใจและสบอารมณ์ของผู้คัดค้าน จึงถูกเหมาว่าเป็นศัตรู ถูกหยามเหยียด ดูถูกดูแคลน ไม่ว่า นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ แม่ทัพ นายกอง ข้าราชการระดับสูง ผู้อาวุโสในบ้านเมือง กลับกลายเป็นพวกคนโกง ฉวยโอกาส สร้างภาพ ไม่รักและเทิดทูนสถาบันและเป็นทาสพวกเอารัดเอาเปรียบสังคม

ด่าประณาม ด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัด นักวิชาการชั้นสวะ นักวิชาการสมองฝ่อ นักวิชาการหาแดก ไอ้พวกนรก หมาเห่าใบตองแห้ง เลวกว่าสุนัข ถ้อยคำด่าเขาข้างเดียวเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดผ่านหน้าจอทีวีออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่เว้นแต่ละวัน เป็นการสั่งสมให้เกิดความก้าวร้าว รุนแรง หรือไม่

ครับ โจทย์ของปัญหาความขัดแย้งวันนี้มีหลายข้อ สองข้อใหญ่คือ 1.ต้องขุดรากถอนโคน คนชั่ว คนโกง ขจัดรัฐบาลที่ช่วยเหลือคนทุจริตคิดมิชอบ ไม่รู้จักพอ เอารัดเอาเปรียบสังคม ไม่เคารพรักสถาบัน

ข้อนี้ คนที่มีใจเป็นธรรมจำนวนไม่น้อยรับรู้ เห็นตรงกัน หลายองค์กรได้ต่อสู้คัดค้านมาจนถึงวันนี้ โดยเฉพาะสมาคมวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชน ซึ่งยืนหยัดมาตลอดไม่ว่ารัฐบาลยุคใดก็ตาม

โจทย์ข้อสอง ซึ่งฝ่ายสานเสวนาเห็นว่าเป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าต้องเร่งแก้ คือบ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ คนไทยถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย ถูกปลุกปั่นให้กำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก ใกล้เกิดสงครามกลางเมือง ขณะที่คนส่วนใหญ่มีสภาพไม่ต่างไปจากตัวประกัน จึงออกมาเรียกร้องแนวทางสันติธรรม ซึ่งเป็นสิทธิของพวกเขาทุกคนเช่นกัน

ฝ่ายสานเสวนา ต้องการให้ทุกฝ่ายใช้สติ ไม่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา เพราะท้ายที่สุดแล้วมีแต่เสียด้วยกันทั้งหมด ประเด็นหัวใจอยู่ตรงนี้ มิได้ปฏิเสธประเด็นใครผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก ตามหลักฐานความเป็นจริง

แต่ฝ่ายกูคือความถูกต้อง คิดว่าสถานการณ์ขณะนี้โจทย์มีข้อเดียว ขาวกับดำเท่านั้นต้องพังกันไปข้างหนึ่ง ด้วยวิธีการที่กูคิด กูทำ เท่านั้น ใครคิดต่างเป็นอย่างอื่น ต้องทำลายล้างให้ฉิบหายวายป่วงไป

ฉะนั้น ปัญหา คนเอารัดเอาเปรียบ คดโกงสังคม ไม่รู้จักพอ ปัญหาหนึ่ง คนสุดขั้ว สุดโต่ง เอาแต่ใจตัวเอง เผด็จการความคิด ก็อีกปัญหาหนึ่ง

ผมถึงชอบใจคำพูดของ อาจารย์อภิชาติ สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ว่า “การเมืองไทยขณะนี้แบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจน ต่างก็มีผู้สนับสนุนที่ไม่ได้ต้องการความสุดโต่ง คืออาจจะเห็นด้วยเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่เพราะแกนนำไม่กี่คนที่ใช้วิธีแตกหัก ไม่ยอม ไม่คุย ไม่ฟัง จึงนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่ต้องดึงเอาพลังของคนที่ไม่สุดโต่งออกมา เพื่อไม่ให้ผู้นำที่สุดโต่งไม่กี่คนนำพาไปสู่ความรุนแรง นักวิชาการ สื่อมวลชนต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำสุดโต่งอย่างชัดเจน ถึงจะกำจัดการเมืองแห่งความสุดโต่งนี้ได้

ที่มา มติชนรายวัน วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11195 หน้า 2

 

แท็ก คำค้นหา