ระวัง อสมท แปลงร่าง NBT 2

นักข่าวกระจกใส
กรุงเทพธุรกิจ

 

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : บทบาทของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 ในร่างคลุมภาษาฝรั่ง NBT ที่ถูก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกล่าวถึงว่า สร้างปัญหาโดยไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่เป็นที่รู้กันว่า หมายถึง NBT ตามการตั้งคำถามชงจากนักข่าวสายทหาร

เคียงคู่กับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ที่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเป็นกลางตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนเช่นเดียวกัน จนกลายเป็น “สื่อก่อปัญหา” 2 ช่อง ที่ทำให้เกิดความรุนแรง

NBT เป็นสื่อของรัฐ แต่กลับถูกยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ รวมไปถึงวิทยุในเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ที่กว้างขวางที่สุด โดยกลุ่มนักการเมืองในพรรคพลังประชาชน ที่แปลงร่างเป็นนักธุรกิจสื่อที่แยบยลในการ “ขายข่าว” เพื่อเป้าหมายทางการเมือง ที่มี “เงินติดปลายนวม” ก้อนใหญ่ด้วย

ผสมกับ “แรงแค้น” ฝังลึกจากกลุ่มอดีตผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ไอทีวี 4-5 คน ทำให้หน้าจอ NBT ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เกิดอาการ กระจกเงา “ขมุกขมัว” ไปด้วยอคติในการรายงานข่าว และรายการสนทนา 3 เกลอหัวกลม

กระจก NBT “ดำสนิท” ในรุ่งสางวันที่ 2 กันยายน เมื่อรายงานข่าว “ความจริงด้านเดียว” จากปากคำของกลุ่ม นปก.เป็นส่วนใหญ่ที่ยกกำลังบุกรุกเข้าไปถึงเวทีของกลุ่มพันธมิตร เพื่อ “ใส่ร้ายป้ายสี” กลุ่มพันธมิตรว่าเป็นฝ่ายที่ใช้อาวุธปืนก่อน จนเกิดความรุนแรงมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

อาการ NBT ในยามนี้น่าเป็นห่วง ยิ่งกว่าปรากฏการณ์ “จอดำ” ในตอนสายวันที่ 26 สิงหาคม หลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถอนกำลังที่เข้าไป “คุกคาม” ออกมา

ASTV ก็อยู่ในอาการ “กระจกด้านเดียว” ไม่ต่างกัน เพียงแต่ ASTV เป็นสื่อเอกชนที่ประกาศเจตนารมณ์ “สื่อเลือกข้าง” ความจริงด้านเดียว และเต็มไปด้วยอคติกับฝ่ายรัฐบาลเช่นกัน

ฝาก พล.อ.อนุพงษ์ ลองไปพิจารณาทำอย่างเงียบๆ ตามที่บอกกับนักข่าวเมื่อวันก่อน เพื่อลดการเผชิญหน้ากันในสังคม จากการทำหน้าที่แบบ “สื่อเลือกข้าง” 2 ช่อง

ลองคุยกับข้าราชการและลูกจ้างชั่วคราวของช่อง 11 ที่ถูกปล่อยให้นั่งตบยุงเดินเล่นในสถานีหรือกลายเป็น “เด็กรับใช้” ของกลุ่มก๊วนไอทีวีกับนักการเมืองที่ได้เข้าไป “ยึดครอง” ช่อง 11 แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น NBT

เพียงแค่ทำให้โทรทัศน์ของรัฐกลับมาใช้ชื่อ “สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11” ที่สมภาคภูมิมากกว่า แล้วไล่พวก “แค้นฝังหุ่น” ออกไปจากหน้าจอสัก 6-7 คน เปิดผังเวลาให้ “คนช่อง 11” ตัวจริง กลับมาทำงานให้สมกับเงินเดือนข้าราชการ แค่นี้จะทำให้กระจกบานนี้ใสขึ้นไม่ก่อปัญหาอีก

ส่วน ASTV ก็ควรจะส่งคนไปคุยให้ลดราวาศอกลงบ้าง แม้ว่าศาลปกครองสูงสุดจะให้การคุ้มครองระหว่างยังมีคดีฟ้องร้องกับกรมประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ควรจะเกรงใจ “ศาลปกครอง” บ้าง ที่มีใจเมตตาให้การคุ้มครอง

การประกาศตัวเป็น “สื่อเลือกข้าง” ได้ ไม่ผิดกติกา แต่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ ภาษารุนแรง “บริภาษ” ฝ่ายอื่น ที่มีความเห็นไม่สอดคล้อง และยัง “ปลุกระดม” ให้ผู้ชมสะสมความแค้น จนฝังใจเช่นกันว่า จะต้องชำระฝ่ายตรงกันข้ามให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับอาการแค้นฝังหุ่นของกลุ่มอดีตผู้ประกาศไอทีวี

สังคมอย่าจับจ้องเฉพาะ NBT กับ ASTV เท่านั้น ยังมีสื่อกึ่งรัฐกึ่งเอกชนอย่าง “ช่องโมเดิร์นไนน์” หรือช่อง 9 กำลังเป็นที่หมายตาของ “กลุ่มแก๊ง NBT” จะเข้าไปยึดครองเพื่อ “เงิน” และผลประโยชน์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผลพลอยได้ คือ ยึดกุมช่องโทรทัศน์ได้อีก 1 ช่อง พร้อมเครือข่ายวิทยุอีกกว่า 50-60 สถานี

เริ่มต้นจากพฤติกรรม “หมาป่ากับลูกแกะ” ในสมัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “จักรภพ เพ็ญแข” ที่ไม่ปิดบังอำพรางในการ “หาเรื่อง” ปลด “วสันต์ ภัยหลีกลี้” กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) อยู่หลายเรื่อง อาทิเช่น ผลประกอบการขาดทุนในเดือนมกราคม แต่เมื่อผลจริงออกมากลับไม่ใช่อย่างนั้น ฯลฯ

อิทธิฤทธิ์ “หมาป่าจักรภพ” ยังไม่หมดสิ้นไป แม้ตัวพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ได้คณะกรรมการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่เลือกมากับมือคนใกล้ชิดเข้าไปนั่งตั้งแต่ประธานบอร์ด และกรรมการอีกหลายคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดิมปลด “ลูกแกะวสันต์” ออกจากตำแหน่งให้ได้ แล้วเงินทองจะไหลมาเทมาเป็นทุนเลือกตั้งรอบใหม่ได้กับแปลงร่างให้เป็น “สื่อทางการเมือง” ที่ทรงพลังมากยิ่งกว่า NBT

ขอให้สังคมจับตาการประชุมบอร์ด อสมท ในวันจันทร์ที่ 8 กันยายน ที่มีการตั้งแท่น “ไม่ยอมรับ” แผนธุรกิจ อสมท ที่ “วสันต์” นำเสนออีกครั้ง ภายในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน หลังจากถูกบอร์ดชุดใหญ่สายกฎหมาย 2 คน พยายาม “หาช่อง” เอาผิดว่าผิดสัญญาจ้างที่ไม่ได้ทำแผนธุรกิจ อสมท ปี 2551

ทั้งๆ ที่วสันต์ได้เคยเสนอ “แผนวิสาหกิจ อสมท 2551-2555 กับแผนปฏิบัติงานปี 2551 ที่ร่วมกันจัดทำกับฝ่ายบริหาร อสมท แล้ว ได้รับการอนุมัติจากบอร์ดชุดเก่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ทำงานตาม “ตัวชี้วัด” (KPI) ที่กำหนดขึ้นอิงกับแผนดังกล่าวมานานร่วม 6-7 เดือนแล้ว

แต่เหตุไฉนบอร์ดชุดใหม่ จึงเพิ่งจะมาท้วงติงว่าวสันต์ทำผิดสัญญาจ้าง ที่ว่าไปแล้ว “แผนธุรกิจ” มีความสำคัญน้อยกว่า “ผลประกอบการจริง” ที่มีกำไรเพิ่มกว่าทุกช่อง และทำไมติดอกติดใจนักหนาว่า ไม่ใช่ “แผนธุรกิจ” แต่เป็น “แผนวิสาหกิจ” ของ อสมท ที่โดย “เนื้อหา” แทบไม่ต่างกันเลย

น่าห่วงแทน พล.อ.อนุพงษ์จริงๆ ว่า ลำพังการแก้ปัญหา NBT กับ ASTV ก็ยากมากแล้ว

ยังจะต้อง “จับให้ได้-ไล่ให้ทัน” การเคลื่อนตัวเข้าครอบงำ “บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)” ที่กำลังทำให้เป็น ขั้นตอนตามกฎหมายในการเลิกสัญญาจ้าง เพื่อป้องกันการฟ้องศาลปกครอง ด้วยการ “หาเรื่อง” แบบหมาป่ากับลูกแกะปลด “วสันต์ ภัยหลีกลี้” ให้พ้นทาง แล้วตั้ง “รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่” ที่สั่งซ้ายหันขวาหันมานั่งแทนแบบเดียวกับการเปลี่ยนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

ระวังให้ดีเถอะ สังคมอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นชื่อ “จักรภพ เพ็ญแข” ลดชั้นจากอดีตรัฐมนตรี มานั่งรักษาการเพื่อบัญชาการเองให้ทุกอย่างเป็นไปตามความฝัน ว่า จะได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้มากกว่าเก้าอี้รัฐมนตรี “ส้มหล่น” จากนายใหญ่ที่เป็นวิบากกรรม

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ 4 กันยายน พ.ศ. 2551 00:49:00

แท็ก คำค้นหา