ทีวีเสรีกับทีวีสาธารณะ

โดย ปรมะ สตะเวทิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หนังสือพิมพ์มติชน

 

ทีวีในประเทศประชาธิปไตยนั้น ถือหลักเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นสำคัญ ทีวีจึงเป็นเสรี ที่ว่าเสรีนั้นหมายความว่าเป็นอิสระจากการแทรกแซงของอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจรัฐ สถานีโทรทัศน์ดำเนินกิจการโดยวิจารณญาณของตนเองโดยเสรี มีการแข่งขันกันโดยเสรี

ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทีวีเป็นเสรี มีการดำเนินกิจการใน 2 รูปแบบ

รูปแบบที่หนึ่ง คือ แบบธุรกิจ แสวงหากำไร เป็นทีวีของเอกชน

รูปแบบที่สอง คือ แบบไม่เป็นธุรกิจ ไม่แสวงหากำไร เป็นทีวีสาธารณะ

ในประเทศสหรัฐอเมริกาในระยะแรกนับตั้งแต่มีทีวี เมื่อ ค.ศ.1939 จึงเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาดำเนินกิจการทีวีในรูปของธุรกิจ โดยมีเอกชนเป็นเจ้าของ มีการโฆษณาสินค้า เพื่อเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของทีวี มีเครือข่ายทีวี (Network) ของเอกชนดำเนินการอยู่ 3 เครือข่าย คือ ABC(American Broadcastion company) CBS (columbia Broadcastion System) และ NBC (National Broadcasting Company)

เครือข่ายทีวีเอกชนทั้ง 3 ได้ทำการออกอากาศรายการต่างๆ ทั้งข่าวสาร, กีฬา และความบันเทิง จนถึงปลายศตวรรษที่ 20 ก็เริ่มเกิดความรู้สึกกันโดยทั่วไปว่า เครือข่ายทั้ง 3 เสนอรายการที่เป็นบันเทิงมากเกินไป จนกระทั่งเนื้อหาด้านความรู้ ศิลปะ และรายการสำหรับเด็กๆ มีอยู่น้อยเต็มที จึงได้มีการจัดตั้งเครือข่าย PBS เพิ่มขึ้น (Public Broadcasting Service) เป็นทีวีสาธารณะ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความรู้ ศิลปะ และรายการเด็กที่มีจำนวนจำกัดในทีวีของเอกชน

PBS ดำเนินกิจการโดยอาศัยเงินทุนอุดหนุนจากรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานของ PBS แต่อย่างใด

ในประเทศอังกฤษเหตุการณ์กลับตรงกันข้าม กล่าวคือ ทีวีในอังกฤษเริ่มต้นจากทีวีสาธารณะก่อนซึ่งดำเนินการโดยบรรษัทการกระจายเสียงแห่งอังกฤษ (British Broadcasting Corporation) หรือ BBC ตั้งแต่ปี ค.ศ.1936 การดำเนินกิจการของ BBC ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตมีเครื่องรับ (licensing fees) ของเจ้าของเครื่องรับโทรทัศน์เป็นสำคัญ รัฐบาลไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่ได้ควบคุมการดำเนินงานของ BBC BBC บริหารโดยคณะกรรมการที่เรียกว่า Board of Governors ซึ่งแต่งตั้งโดยพระบรมราชินีนาถแห่งอังกฤษ

โทรทัศน์ BBC มี 2 สถานี คือ BBC ONE และ BBC TWO

สถานี BBC ONE เสนอรายการสาระบันเทิง สำหรับคนทั่วไป เช่น รายการเด็ก ข่าว กีฬา และภาพยนตร์

สถานี BBC TWO เสนอรายการสำหรับผู้ชมเฉพาะกลุ่ม เช่น รายการของมหาวิทยาลัยเปิด รายการกีฬาที่เป็นที่นิยมเฉพาะกลุ่ม รายการเพลงคลาสสิค และรายการเพื่อการเกษตร

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ชมเปลี่ยนรุ่นไป ประชาชนเกิดความรู้สึกว่ารายการของ BBC จำเจ น่าเบื่อหน่าย และมีรสนิยมสูงเกินไป ประชาชนต้องการการนำเสนอรายการในลักษณะอื่นบ้าง มีความหลากหลายและไม่ยึดติดกับศิลปะ วัฒนธรรม และรสนิยมสูงเกินไป

รัฐบาลจึงได้อนุมัติให้จัดตั้งการโทรทัศน์เสรี (Independent Television Authority) หรือ ITA ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1954 เปิดโอกาสให้มีโทรทัศน์ธุรกิจดำเนินกิจการโดยเอกชน แสวงหากำไร มีการโฆษณาสินค้า เพื่อเป็นทางเลือกใหม่นอกเหนือจากทีวีสาธารณะ BBC

ปัจจุบันทีวีธุรกิจของเอกชนมี 3 สถานี คือ สถานี ITV สถานี Channel 4 และสถานี Five

ทีวีของสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ จึงเป็นการผสมระหว่างทีวีเอกชนซึ่งเป็นทีวีธุรกิจกับทีวีสาธารณะ คนดูจึงมีเสรีภาพในการเลือกว่าจะดูรายการประเภทใด จะดูทีวีเอกชนหรือดูทีวีสาธารณะ ทั้งทีวีเอกชนและทีวีสาธารณะต่างยึดหลักเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นหลัก นั่นคือดำเนินกิจการโดยเสรีปราศจากการแทรกแซงจากอำนาจ และอิทธิพลต่างๆ ทั้งรัฐบาลและองค์กรอื่นๆ

หันกลับมาดูทีวีเมืองไทย หากเราจะจัดรูปแบบของทีวีเมืองไทย ก็คงจัดได้ 2 รูปแบบเช่นเดียวกับทีวีของอังกฤษและทีวีของสหรัฐอเมริกา รูปแบบแรก คือ ทีวีธุรกิจ แสวงหากำไร มีโฆษณาสินค้า ได้แก่ ช่อง 3 ช่อง 7 (ซึ่งดำเนินการโดยเอกชน) และช่อง 5 ช่อง 9 (ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐ) รูปแบบที่สอง คือ ทีวีสาธารณะ ได้แก่ ช่อง 11 (ซึ่งดำเนินการโดยกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะหน่วยงานของรัฐบาล)

เมื่อเกิดปัญหา ITV ซึ่งเปลี่ยนเป็น TITV ภายใต้การดูแลของกรมประชาสัมพันธ์ และกำลังหาทางออกว่าจะไปทางไหนกันดีระหว่างการเป็นทีวีเสรี (น่าจะหมายถึงทีวีธุรกิจที่ดำเนินการโดยเอกชนและแสวงหากำไร) กับการเป็นทีวีสาธารณะ โดยมีการตั้งคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของรัฐบาล

หากดูจากสภาพการณ์ในปัจจุบัน (ไม่นับ TITV) เราก็มีสถานีทีวีธุรกิจอยู่ 4 สถานี (ช่อง 3, 5, 7 และ 9) และมีสถานีทีวีสาธารณะอยู่ 1 สถานี (ช่อง 11)

ก็เป็นหน้าที่ของคนดูที่จะตัดสินใจว่าจะให้ TITV หรือ ITV เดิม เป็นสถานีรูปแบบใด ระหว่างการเป็นทีวีธุรกิจของเอกชน กับการเป็นทีวีสาธารณะ เพราะทีวีทั้ง 2 รูปแบบก็มีทั้งจุดดีและจุดด้อย ดังตัวอย่างของทีวีในอังกฤษ และอเมริกาที่กล่าวมาข้างต้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10624 หน้า 6

แท็ก คำค้นหา