ข้อบังคับ TBJA

หมวด

ข้อบังคับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

ข้อบังคับของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย พ.ศ. 2543

หมวดที่ 1 ความทั่วไป

 

ข้อ 1.สมาคมนี้มีชื่อว่าสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
– ย่อว่า สขวท. เรียกเป็นภาษา THAI BROADCAST JOURNALISTS ASSOCIATION
– ย่อว่า TBJA

 
ข้อ 2.เครื่องหมายของสมาคมมีลักษณะเป็นรูป นกพิราบอยู่บนสายฟ้า

 
ข้อ 3.สำนักงานของสมาคมตั้งอยู่ ณ 538/1 ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300

 
ข้อ 4.วัตถุประสงค์ของสมาคม เพื่อ

4.1 ปกป้องคุ้มครองสมาชิกของสมาคมผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ
4.2 ส่งเสริม และสนับสนุนการประกอบวิชาชีพ นักข่าววิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ให้มี เสรีภาพในการแสวงหา ข้อมูลข่าวสารการโฆษณา และการแสดงออก ส่งเสริมสิทธิ การรับรู้ของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย
4.3 ผดุงไว้ซึ่งมาตรฐานอันดีงามของสมาชิก โดยให้ยึดจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และความรับผิดชอบ เป็นหลักอันสำคัญยิ่ง
4.4 ส่งเสริม สวัสดิการและความสามัคคี ระหว่างสมาชิก ส่งเสริมการทำตนให้เป็น ประโยชน์ ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่าง เพื่อนร่วมวิชาชีพ ทั้งภายใน และนอกประเทศ
4.5 ส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่าง ชนในชาติความเข้าใจอันดี ระหว่างประเทศ เพื่อยังสันติสุขภราดรภาพ ความเคารพ ในสิทธิมนุษยชนตลอดจนความอยู่ดีกินดี ให้เกิดขึ้นในโลก

 

หมวดที่ 2 สมาชิก

 

ข้อ 5.สมาชิกของสมาคมมี 2 ประเภท คือ
5.1สมาชิกสามัญ ได้แก่

5.1.1นักสื่อสารมวลชนที่มีตำแหน่งและ/หรือรายได้ประจำ และมีอายุงานไม่น้อยกว่า 6 เดือน
5.1.2ผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเสนอข้อมูล ข่าวสาร และสาระประโยชน์ต่อสาธารณะ ผ่านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ และมีอายุงานไม่น้อยกว่า 6 เดือน
5.1.3ผู้เคยมีคุณสมบัติตามข้อ 5.1.1 แต่พ้นจากตำแหน่งมาไม่เกิน 1 ปี โดยมิได้ถูก วินิจฉัย โดยองค์กรวิชาชีพว่าประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
5.2วิสามัญสมาชิก ได้แก่
5.2.1ผู้เคยมีคุณสมบัติตามข้อ 5.1 และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเกิน 1 ปี โดยมิได้ถูก วินิจฉัยว่าประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
5.2.2ผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเสนอข้อมูล ข่าวสาร และสาระประโยชน์ผ่านสื่ออื่น

 
ข้อ 6.สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
6.1เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
6.2เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย
6.3ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
6.4ไม่ ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคล ล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือต้องโทษจำคุก ยกเว้นความผิดฐานประมาท หรือลหุโทษ การต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดในกรณีดังกล่าว จะต้องเป็นในขณะที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือในระหว่าง ที่เป็นสมาชิกของสมาคมเท่านั้น

 
ข้อ 7.ค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคม
7.1สมาชิกสามัญ จะต้องเสียค่าลงทะเบียนครั้งแรก 100 บาท
ค่าบำรุงสมาคมเป็นรายเดือนๆ ละ – บาท
หรือค่าบำรุงเป็นรายปีๆ ละ 100 บาท
7.2สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมแต่ อย่างใดทั้งสิ้น

 
ข้อ 8.การ สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิก ของสมาคม ยื่นใบสมัครตามแบบของสมาคม ต่อเลขานุการ โดยมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 1 คน และให้เลขานุการติดประกาศรายชื่อผู้สมัครไว้ ณ สำนักงานของสมาคม เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน เพื่อให้สมาชิกอื่นๆ ของสมาคมจะได้คัดค้านการสมัครนั้น เมื่อครบกำหนดประกาศแล้ว ก็ให้เลขานุการนำไปสมัคร และหนังสือคัดค้านของสมาชิก (ถ้ามี) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาการสมัครแล้ว ผลเป็นประการใด ให้เลขาธิการเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบโดยเร็ว

 
ข้อ 9.ถ้า คณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ ให้รับผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก ก็ให้ผู้สมัครนั้น ชำระเงินค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคมภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง จากเลขานุการ และสมาชิกภาพของผู้สมัคร ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้สมัคร ได้ชำระเงิน ค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าผู้สมัครไม่ชำระเงิน ค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงภายในกำหนด ก็ให้ถือว่าการสมัครนั้นเป็นอันยกเลิก

 
ข้อ10.สมาชิก ภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนังสือตอบรับคำเชิญ ของผู้ที่คณะกรรมการ ได้พิจารณาลงมติให้เชิญ เข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ได้มาถึงยังสมาคม

 
ข้อ 11.สมาชิกภาพของสมาชิกให้สิ้นสุดลงด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
11.1ตาย
11.2ลาออก โดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อคณะกรรมการและคณะกรรมการ ได้พิจารณาอนุมัติ และสมาชิกผู้นั้นได้ชำระหนี้สินที่ยังติดค้าง อยู่กับสมาคม เป็นที่เรียบร้อย
11.3ขาดคุณสมบัติสมาชิก
11.4ที่ ประชุมใหญ่ของสมาคม หรือคณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้ลบ ชื่อออกจากทะเบียน เพราะสมาชิกผู้นั้นได้ประพฤตินำ ความเสื่อมเสียมาสู่สมาคม

 
ข้อ 12.สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
12.1มีสิทธิเข้าใช้สถานที่ของสมาคมโดยเท่าเทียมกัน
12.2มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
12.3มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่างๆที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
12.4มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
12.5สมาชิก สามัญมีสิทธิในการเลือกตั้ง หรือได้รับการเลือก ตั้งหรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และมีสิทธิออกเสียงลงมติต่างๆ ในที่ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง
12.6มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม
12.7มี สิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด หรือสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 100 คน ทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการ ให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญได้
12.8มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติ และข้อบังคับของสมาคมโดยเคร่งครัด
12.9มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
12.10มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินกิจการต่างๆ ของสมาคม
12.11มีหน้าที่ร่วมกิจกรรมที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
12.12มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของสมาคมให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

 

หมวดที่ 3 การดำเนินกิจการสังคม

 

ข้อ 13.ให้ มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ทำหน้าที่บริหารกิจการของสมาคม มีจำนวนอย่างน้อย 11 คน อย่างมากไม่เกิน 15 คน คณะกรรมการนี้ ได้มาจากการเลือกตั้ง ของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม และให้ผู้ที่ได้เลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่ เลือกตั้งกันเองเป็นนายกสมาคม 1 คน และอุปนายก 1 คน สำหรับตำแหน่งกรรมการในตำแหน่งอื่นๆ ให้นายกเป็นผู้แต่งตั้งผูที่ได้รับเลือกตั้ง จากที่ประชุมใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ของสมาคม ตามที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งตำแหน่งของกรรมการสมาคม มีตำแหน่งและหน้าที่โดยสังเขปดังต่อไปนี้
13.1นายก สมาคม ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคมเป็น ผู้แทนสมาคมในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และทำหน้า ที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ และการประชุม ใหญ่ของสมาคม
13.2อุปนายก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคม ในการบริหารกิจการ สมาคมปฏิบัติตาม หน้าที่นายกสมาคมได้มอบหมายและ ทำหน้าที่แทนนายกสมาคม เมื่อนายกสมาคมไม่อยู่ หรือ ไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทำหน้าที่แทน นายกสมาคม ให้อุปนายกตามลำดับตำแหน่ง เป็นผู้กระทำการแทน
13.3เลขานุการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับ งานธุรการ ของสมาคมทั้งหมดเป็นหัวหน้า เจ้าหน้าที่ของสมาคม ในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคำสั่ง ของนายกสมาคม ตลอดจน หน้าที่เป็นเลขานุการในการประชุมต่างๆ ของสมาคมไว้เพื่อตรวจสอบ
13.4เหรัญญิก มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคม เป็นผู้จัดทำ บัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีงบดุลของสมาคม และเก็บ เอกสารหลักฐานต่างๆ ของสมาคมไว้เพื่อตรวจสอบ
13.5ปฏิคม มีหน้าที่ในการให้การต้อนรับแขกของสมาคม และจัด เตรียมสถานที่ประชุมต่างๆของสมาคม
13.6นายทะเบียน มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม ประสาน งานกับเหรัญญิกในการเรียกเก็บเงินค่าบำรุง สมาคมจากสมาชิก
13.7ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียงเกียรติคุณของสมาคม ให้สมาชิกและบุคคลโดยทั่วไปให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
13.8กรรมการ ตำแหน่งอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกำหนด ให้มีขึ้นโดยมีจำนวนเมื่อรวมกับ ตำแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้ว จะต้องไม่เกินจำนวนที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้ แต่ถ้าคณะกรรมการมิได้ กำหนดตำแหน่ง ก็ถือว่าเป็นกรรมการกลาง คณะกรรมการชุดแรก ให้ผู้เริ่มการจัดตั้งสมาคมเป็นผู้เลือกตั้งประกอบด้วย นายกสมาคมและกรรมการ อื่นๆตามจำนวนที่เห็นสมควร ตามข้อบังคับของสมาคม

 
ข้อ 14.คณะ กรรมการของสมาคมสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ……….ปี และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตำแหน่งครบวาระแล้ว แต่คณะกรรมการชุดใหม่ยัง ไม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียน จากทางราชการ ก็ให้คณะกรรมการ ที่ครบกำหนดตามวาระรักษาการไปพลางก่อน จนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่ จะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการและเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่ ได้รับอนุญาต ให้จดทะเบียนจากทางราชการ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ทำการส่งและรับมอบงานกัน ระหว่างคณะกรรมการชุดเก่า และคณะกรรมการชุดใหมให ้เป็นที่เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ

 
ข้อ 15.ตำแหน่ง กรรมการสมาคม ถ้าต้องว่างลงก่อนครบกำหนดตามวาระ ก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกสามัญ คนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรง ตำแหน่งที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ใน ตำแหน่งได้เท่ากับวาระ ของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น

 
ข้อ 16.กรรมการอาจจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คือ
16.1ตาย
16.2ลาออก
16.3ขาดจากสมาชิกภาพ
16.4ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้พ้นจากตำแหน่ง

 
ข้อ 17.กรรมการ ที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่งกรรมการ ให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลัษณ์อักษร ต่อคณะกรรมการ และให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อคณะกรรมการมีมติให้ออก

 
ข้อ 18.อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
18.1มีอำนาจออกระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติ โดยระเบียบปฏิบัตินั้นจะต้องไม่ขัดกับข้อบังคับฉบับนี้
18.2มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม
18.3มี อำนาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการ จะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
18.4มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
18.5มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการในตำแหน่งอื่นๆ ที่ยังมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
18.6มีอำนาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตลอดจนมีอำนาจอื่นๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
18.7มีหน้าที่รับผิดชอบกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงิน และทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
18.8มีหน้า ที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ตามที่สมาชิกสามัญจำนวน 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด ได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องจัดให้ม ีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
18.9มีหน้า ที่จัดทำเอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงิน ทรัพย์สินและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของสมาคมให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถจะให้สมาชิกตรวจดูได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
18.10จัดทำบันทึกการประชุมต่างๆ ของสมาคม เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิกได้รับทราบ
18.11มีหน้าที่อื่นๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้

 
ข้อ 19.คณะ กรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยให้จัดขึ้นภายในวันที่ 10 ของทุกๆ เดือน ทั้งนี้เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับ การบริหารกิจการของสมาคม

 
ข้อ 20.การ ประชุมคณะกรรมการ จะต้องมีกรรมการ เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่า ครึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม มติของที่ประชุม คณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้ เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด

 
ข้อ 21.ใน การประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคม ไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ได้ ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุม ในคราวนั้นเลือกตั้งกันเอง เพื่อให้กรรมการคนใดคนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธาน ในการประชุมคราวนั้น

 

หมวดที่ 4 การประชุมใหญ่

 

ข้อ 22.การประชุมใหญ่ของสมาคม 2 ชนิด คือ
22.1ประชุมใหญ่สามัญ
22.2ประชุมใหญ่วิสามัญ

 

 

ข้อ 23.คณะกรรมการจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีๆ ละ 1 ครั้ง ภายในเดือนเมษายนของทุกๆ ปี

 

 

ข้อ 24.การ ประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้ ก็โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นควรจัดให้มีขึ้น หรือเกิดขึ้นด้วยการเข้าร่วมกันของสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด หรือสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 100 คน ทำหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการให้จัดให้มีขึ้น

 

 

ข้อ 25.การ แจ้งกำหนดนัดประชุมให้เลขานุการ เป็นผู้แจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ ่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุ วัน เวลา และสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้งให้สมาชิก ได้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และประกาศแจ้งกำหนดนัดวันประชุมไว้ ณ สำนักงานของสมาคม เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงกำหนดวันประชุมใหญ่

 

 

ข้อ 26.การประชุมใหญ่สามัญประจำปี จะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
26.1แถลงกิจการที่ผ่านมาในรอบป
26.2แถลงบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับทราบ
26.3เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ เมื่อครบกำหนดวาระ
26.4เลือกตั้งผู้สอบบัญชี
26.5เรื่องอื่นๆ ถ้ามี

 
ข้อ 27.ใน การประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญ จะต้องมีสมาชิกสามัญ เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด จึงจะถือว่าครงองค์ประชุมแต่ ถ้าเมื่อถึงกำหนดเวลาประชุมยังมีสมาชิกสามัญเข้าร่วม ประชุมไม่ครบองค์ประชุมให้คณะกรรมการ ของสมาคม เรียกประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายใน 14 วัน นับแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก สำหรับการประชุมในครั้งหลังนี้ ถ้ามีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนเท่าใด ก็ให้ถือว่าครบองค์ประชุม ยกเว้นถ้าเป็นการประชุมใหญ่วิสามัญ ที่เกิดขึ้นจากการร้องขอ ของสมาชิก ก็ไม่ต้องจัดประชุมใหญ่ ให้ถือว่าการประชุมเป็นการยกเลิก

 
ข้อ 28.การ ลงมติต่างๆ ในที่ประชุมใหญ่ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติมีคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด

 
ข้อ 29.ใน การประชุมใหญ่ของสมาคม ถ้านายกสมาคม และอุปนายกสมาคมไม่มาร่วมประชุม หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ทำการเลือกตั้งกรรมการ ที่มาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่ง ให้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น

 

หมวดที่ 5การเงินและทรัพย์สิน

 
ข้อ 30.การเงิน และทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ใน ความรับผิดชอบของคณะกรรมการเงินสด ของสมาคม ถ้ามีให้นำฝากไว้ในธนาคาร ที่มีความมั่นคงหรือซื้อตราสารทางการเงิน ที่ออกหรือรับรองโดยรัฐบาล

 
ข้อ 31.การ ลงนามในตั๋วเงินหรือเช็คของสมาคม จะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทำการแทนลงนามร่วมกับเหรัญญิก หรือเลขานุการ พร้อมกับประทับตราของสมาคมจึงจะถือว่าใช้ได้

 
ข้อ 32.ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 10,000 บาท
(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่านั้นจะได้รับอนุมัติจาก คณะกรรมการและคณะกรรมการ จะอนุมัติให้จ่ายเงินได้ครั้งละไม่เกิน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ถ้าจำเป็นจะต้องจ่ายเกินกว่านี้ ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมของสมาคม

 
ข้อ 33.ให้ เหรัญญิก มีอำนาจเก็บรักษา เงินสดของสมาคมได้ไม่เกิน 5,000 บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนนี้ จะต้องนำฝากธนาคารในบัญชีของสมาคม ทันทีที่โอกาสอำนวยให้

 
ข้อ 34.เหรัญญิก จะต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุล ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ การรับหรือจ่ายเงินทุกครั้ง จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทำการแทนร่วมกับเหรัญญิก หรือผู้ทำการแทนพร้อมกับประทับตรา ของสมาคมทุกครั้ง

 
ข้อ 35.ผู้สอบบัญชี จะต้องมิใช่ กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาต

 
ข้อ 36.ผู้ สอบบัญชี มีอำนาจหน้าที่จะเรียกเอกสาร ที่เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินจาก คณะกรรมการและสามารถจะเชิญกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม เพื่อสอบถาม เกี่ยวกับบัญชีและทรัพย์สินของสมาคมได้

 
ข้อ 37.คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้สอบบัญชี เมื่อได้รับการร้องขอ

 

หมวดที่ 6   การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม

 
ข้อ 38.ข้อ บังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได โดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้น และองค์ประชุมใหญ่จะต้องมีสมาชิกสามัญ เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ของสมาชิกสามัญทั้งหมด มติของที่ประชุมใหญ่ใน การให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับ จะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด

 
ข้อ 39.การ เลิกสมาคมจะเลิกได้ก็โดย มติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุของกฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคม จะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ครึ่งของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด

 
ข้อ 40.เมื่อ สมาคมต้องเลิก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่ หลังจากที่ได้ชำระบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตกเป็นของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (ผู้รับต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการสาธารณประโยชน์)

 

หมวดที่ 7 บทเฉพาะกาล

 

ข้อ 41.ข้อบังคับฉบับนี้นั้น ให้เริ่มใช้บังคับได้นับตั้งแต่วันที่สมาคม ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียน เป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป

 
ข้อ 42.เมื่อสมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ก็ให้ถือว่าผู้เริ่มการทั้งหมดเป็นสมาชิกสามัญ

แท็ก คำค้นหา

หมวด